ผู้ทรงอิทธิพลในวงการฟุตบอล EP:3

ข่าวกีฬา ข่าวฟุตบอล

เมื่อถึงจุดที่มันเริ่มเป็นจุดเปลี่ยนมันต้องมีการถ่ายเลือด เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องยอมรับ ต้องยอมลงมือทำอะไรบางอย่างเขาเดินเข้ามาตบบ่า แล้วบอกบรรดานักเตะเหล่านั้นแบบเรียงคนเลยครับ แล้วก็แจ้งว่าถึงเวลาแล้วที่คุณต้องไป ปีแล้วปีเล่าให้เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องพูดคำแบบนั้น กับพอล ปาร์กเกอร์ กับ สตีฟบรูซ เนี่ยย้ายออกจากทีมไปในปี 1996 แกรี่ พัลลิสเตอร์ ออกไปในปี 1998 และเดนนิส เออร์วิน ออกไปในปี 2002 

แน่นอนครับว่า สีหน้าของบรรดานักเตะที่ได้ยินคำพูด ซึ่งเขาไม่อยากได้ยินเลยนะครับ มันแสดงถึงความเสียใจ ความผิดหวัง อย่างมากที่สุด แต่ความจริงของโลกฟุตบอล มันก็โหดร้ายแบบนี้แหละ อยากจะประสบความเร็จมันก็ต้องเดินไปข้างหน้า แล้วบางครั้ง ก็ต้องยอมทิ้งใครไว้ข้างหลัง 

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บอกว่าการที่ผมต้องไปบอกเขาว่า นายถึงเวลาต้องย้ายทีมแล้วนะ มันมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก มันเป็นประโยคที่เขาไม่อยากจะพูด เพราะทุกคนเนี่ยส่วนใหญ่ดีต่อเขามาก ดีต่อสโมสรมาก ทุ่มเท พยายามมุ่งมั่น เป็นมืออาชีพ เมื่อถึงเวลาแล้วจริงๆ ซึ่งรายละเอียดนอกจากแบ็คโฟร์ ที่เขาพูดถึงแล้ว มันก็ยังมีอีกหลายคนครับ ที่ต้องออกจากสโมสรไป จริงๆแล้วเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่อยากทำ แต่มันจำเป็น นิคกี้ บัด John o’shea 

และก็มีนักเตะบางส่วนที่เขาอยากจะย้าย เพื่อการลงเล่นที่สม่ำเสมอด้วย แล้วก็เป็นที่น่าสนใจครับ นักเตะในกลุ่มนี้ถือว่ามีภูมิคุ้มกันระดับหนึ่งครับ ถ้าไม่เป็นในระดับ senior ที่อายุมากแล้ว ก็ผ่านทีมชุดใหญ่มาพอสมควร นักเตะกลุ่มนี้เข้าใจในสถานการณ์เป็นอย่างดี แล้วมันก็มาถึงจุดที่ไม่น่าจะมีอะไรที่ดีไปมากกว่านี้แล้ว มันต้องมีการเปลี่ยนแปลง 

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บอกว่า อีกกลุ่มที่เขาต้องหนักใจมากที่สุด ก็คือบรรดานักเตะดาวรุ่งนี้แหละครับ ในวัย 16 17 18 19 นะครับ เด็กๆที่กำลังเต็มไปด้วยความฝัน กับกำลังวาดภาพในหัวว่า เขาจะได้ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ เขาจะสำเร็จอย่างนู้นอย่างนี้ เพียงแต่ว่าไม่ใช่ทุกคนครับ ที่จะสามารถก้าวไปสู่ทีมชุดใหญ่ได้ มันเหมือนเวลาที่คุณกำลังวาดฝันอะไรสักอย่างครับ แล้วก็มีคนเดินเข้ามาบอกว่าหยุดฝันได้แล้ว ได้เวลาย้ายทีมแล้ว ได้เวลาไปเจอโลกความจริงแล้ว อะไรประมาณนั้น 

ซึ่งขั้นตอนในการบอกข่าวร้าย โค้ชทีมเยาวชนแล้วก็ทีมสวัสดิการของสโมสรครับ จะเป็นคนนัดแนะ และก็พานักเตะเหล่านี้มาที่ห้องทำงานของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หลังจากนั้นก็เป็นเขานี้แหละครับ ที่ต้องบอกข่าวร้ายด้วยตัวเอง เขาทำแบบนี้กับทุกคนครับ 

และแน่นอนครับว่า มันเป็นภาพจำทุกครั้งที่เวลาเห็นสีหน้าของเด็กเหล่านั้นนะครับ รู้ข่าวร้ายเสร็จปุ๊บทุกคนก็ผิดหวังก้มหน้า บางคนร้องไห้เสียใจ เฟอร์กี้บอกว่า วินาทีนั้นล่ะครับที่มันแบบเจ็บจี๊ดๆข้างใน การที่เขาต้องเป็นคนที่ทำหน้าที่ ที่ต้องพูดออกมา บอกว่าพวกนายต้องออกจากสโมสรไป เขาต้องบอกกับดาวรุ่งแบบนี้หลายต่อหลายคน บอกว่าพวกนายไม่ได้ไปต่อนะพวกนายแจ้งเกิดไม่ได้นะต้องย้ายออกจากทีมไป

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บอกว่ามันยากมากครับ บางครั้งยากมากกว่าการคุมทีมในเกมแข่งขันเสียอีก แล้วการที่เขาต้องทำแบบนั้น ตัวเขาเองก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ที่เหมือนเป็นคนไปดับความฝันของเด็กเหล่านั้น ฟังดูก็เหมือนใจร้ายนะครับ แต่ว่าในบริบทของการทำงาน มันต้องมีขั้นตอนนี้อยู่ และโดยเฉพาะในองค์กรใหญ่ แต่คุณไม่สามารถที่จะแบกนักเตะที่ไม่ได้ใช้งาน 50-60 คน 100 คนได้ มันจำเป็นต้องมีบางกลุ่มที่โดนคัดทิ้งไป เพื่อให้ได้กลุ่มก้อนที่ที่ดีที่สุด

สโมสรต้องเดินหน้าต่อไป พร้อมกับตัวเขาต้องเรียนรู้ความเจ็บปวดนี้ แบบซ้ำอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทุกๆฤดูกาลครับ แล้วก็ต้องรับมือกับความเสียใจด้วยตัวคนเดียวเพราะเหมือนตัวเองเป็นคนทำร้ายนักเตะเหล่านี้ แต่การที่จะเป็นยอดจัดการทีมได้ คุณต้องก้าวข้ามตรงนี้ให้ได้ เพราะมันมีภารกิจใหญ่ที่รออยู่ คือการพาทีมไปสู่เป้าหมาย หรือพิสูจน์ความสำเร็จ 

ซึ่งสุดท้าย ไม่มีใครตั้งคำถามถึงความสำเร็จในการเป็นผู้จัดการทีมกับยอดคน อย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้เลยเขาทำให้โลกของฟุตบอลประจักษ์ในการรับรู้โดยชัดแจ้งแล้วว่า ตัวเขานั้นทำได้ดีขนาดไหน 

ชีวิตของการเป็นเจ้านายบางครั้งมันก็จะมีมุมเล็กๆแบบนี้แหละครับ ที่กัดกินหัวใจของตัวเอง โดยไม่มีใครรับรู้ เพราะสุดท้ายทุกคนต่างโฟกัสไปที่ความสำเร็จ รางวัลเกียรติยศ จนมองข้ามความเจ็บปวดของบรรดาเหล่านักเตะที่ร่วมสร้างชื่อให้กับสโมสร