ผู้ทรงอิทธิพลในวงการฟุตบอล EP:2

ข่าวกีฬา ข่าวฟุตบอล

ระหว่างทางอย่างที่บอกครับปัญหามันเกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย ลองนึกภาพครับว่า คุณต้องคอยดูแลหรือคอยควบคุมเด็กๆผู้ชาย สัก 20-30 คนนี้ ยังไม่รวมบรรดาคนรอบนอกอีกนะครับ ที่ต้องสื่อสารหรือเจรจากัน เพราะฉะนั้นเนี่ยจะหาสูตรความสำเร็จตายตัวว่าอาจต้องทำ 1 2 3 4 5 ของแบบนี้แต่ละคนมันก็มีวิธีการแตกต่างออกไป ซึ่งในมุมของ เฟอร์กี้ ในการเขาใช้ไม้แข็ง ในแง่ของการบริหารและรักษาความเป็นผู้นำของทีมมาโดยตลอด 

กฎของเขาคือง่ายๆครับ ห้ามใครทำผิดกฎที่เขาสั่งแค่นั้นเลยครับ หากใครอยากลองดี หรือใครแบบแข็งข้อขึ้นมาประตูเปิดรอเลยครับ เราเห็นตัวอย่างหลายๆคนแล้วครับ แม้จะมีฝีเท้าดีแค่ไหนก็ตาม ที่เขาทำแบบนั้นได้ เพราะวิธีการของเขานั่นแหละครับ ที่เริ่มต้นใช้มาตั้งแต่วันแรก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ค่อยๆสะสมบารมีค่อยๆทรงอิทธิพลมากขึ้น จนทำให้บริหารนั้นค่อนข้างจะไว้วางใจ และเกรงใจ ไปในตัวครับ 

ไม่ว่าเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะตัดสินใจแบบไหน เรื่องแบบไหน ทุกคนพร้อมจะเสี่ยง หรือแม้กระทั่งการรับมือกับสื่อครับ ก็ยังมีลูกล่อลูกชนครับ ไม่มีทางที่เขาจะไปวิเคราะห์วิจารณ์นักเตะต่อหน้าสื่อ หรือสื่อหน้าไหนจะมาวิจารณ์นักเตะของเขาได้อะไรประมาณนี้แหละ เขาก็จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ต่อให้มันต้องออกลูกโหด ใช้คำที่มันรุนแรง คำหยาบคาย ดุร้ายไปบ้างเหมือนกัน แต่มันก็ต้องแข็งกร้าว 

ต่อให้คุณเป็นสื่อระหว่างประเทศอย่าง BBC ก็เคยโดนแบนมาแล้วนะ ทั้งหมดนี้ครับ เกิดขึ้นเพราะว่าเขาต้องการดูแลลูกทีมให้ดีที่สุด ให้แต่ละคนสามารถโฟกัสกับการทำผลงานในสนาม และพัฒนาตัวเองตามแบบที่เขาต้องการ ซึ่งนักเตะคนไหนที่อยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เขาวางไว้  คนนั้นก็จะได้รับโอกาสอย่างเหมาะสม กับได้รับการผลักดันอย่างถึงที่สุด 

ซึ่งตรงนี้ล่ะครับที่มันเป็นจุดเริ่มต้นของความเจ็บปวด ในรูปแบบที่มาพร้อมกับการเป็นนายคนนะครับ แล้วเขาต้องพยายามรับมือด้วยตัวเองด้วยครับ เพราะสุดท้ายแล้วในโลกของฟุตบอลนะครับ เป้าหมายสำคัญก็คือความสำเร็จของทีม และต้องมีรางวัลเกียรติยศ ต้องมีถ้วย และถ้าคุณอยากได้ผลการแข่งขันที่ดี ก็ต้องมีนักเตะที่เก่งหรือยังน้อยสุด ก็ต้องเล่นตามแผนและแทคติกที่โค้ชหวังไว้ 

เพียงแต่ว่าบางครั้งนะครับนักเตะที่เก่ง แต่ที่ตอบโจทย์การเล่นตามแท็กติกไม่ได้เนี่ย มันก็อาจจะไม่ใช่นักเตะที่ดี หรือบุคลากรที่ดีในมุมมองขององค์กรโดยรวมนะครับ มันก็คล้ายๆที่เราเคยได้ยินมาตลอด กับคำว่าคนเก่งไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีอยากได้คนดีอาจจะไม่ใช่เป็นคนเก่งก็ได้ 

ซึ่งบางครั้งเนี่ย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็จำเป็นต้องทำในสิ่งที่ตัวเขาเองไม่อยากจะทำ ด้วยการตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ด้วยการบอกบรรดานักเตะที่อยู่ในระเบียบวินัย และมีความมุ่งมั่นมีความพยายาม เป็นคนที่ดี และต่างๆเนี่ย ต้องปล่อยตัวออกจากทีมไป 

จุดนี้แหละครับ ที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บอกว่าเป็นส่วนที่ยากที่สุดในชีวิตการเป็นผู้จัดการทีม ลองนึกภาพตามว่าเขาอ่ะครับ ต้องเป็นคนที่ไปบอกกับบรรดานักเตะเหล่านั้นด้วยตนเองว่า โอเคถึงเวลาแล้วนะ คุณไม่ได้ไปต่อกับเรานะ เรามีความจำเป็นต้องปล่อยคุณออกจากทีม ไม่ว่าจะเป็นนักเตะดาวรุ่ง ที่ผลงานอาจจะยังไม่ดีพอ หรือบรรดานักเตะตัวเก๋าที่เข้าสู่บั้นปลายของการเล่นฟุตบอลอาชีพแล้วนะครับ 

เหตุการณ์ดังกล่าว คือสิ่งที่เขารู้สึกเสียใจที่สุดในชีวิตเลยครับ นั่นคือการบอกความจริง ที่บรรดานักเตะเหล่านั้นไม่อยากจะฟัง โดยเฉพาะตั้งแต่ที่อยู่กับทีมมานานครับ ทุ่มเทให้กับทีมเป็นแบบอย่างให้กับทีม ตั้งแต่รุ่นน้อง และรุ่นน้องที่นี่ก็รักใคร่ ชอบพอกัน นับถือซึ่งกันและกัน 

มันก้าวข้ามของคำว่าเจ้านายกับลูกน้องไปแล้วครับ แต่มันเป็นคนในครอบครัวเป็นเพื่อนที่ดี หรือเป็นคนที่ดีที่เราอยากจะเก็บไว้ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มันทำไม่ได้ ย้อนกลับไปในปี 1994 กับตอนนั้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เล่าให้ฟังว่า เป็นช่วงเวลาที่บรรดา แบ๊คโฟร์ เริ่มโรยราแล้ว ซึ่งนักเตะเหล่านี้คือคนที่อยู่กับเขามานานมากแล้ว ก็ทำผลงานทั้งนอกและในสนามได้อย่างดีเยี่ยม เช่น พอล ปาร์กเกอร์ สตีฟบรูซ แกรี่ พัลลิสเตอร์ และเดนนิส เออร์วิน พวกเขามอบช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมให้กับสโมสร แล้วก็ตัวของเฟอร์กี้มาตลอดนับสิบปี